จากกรณีอุบัติเหตุรถกระบะพุ่งชนร้านสเต๊ก บริเวณปากซอยเอกชัย 119 เขตบางบอน เมื่อช่วงปี 2557 โดยพ่อวิ่งเข้าไปกอดน้องการ์ตูน ลูกสาวซึ่งยืนอยู่หน้าร้าน จนตัวเองเสียชีวิต ส่วนน้องการ์ตูนได้รับบาดเจ็บสาหัส กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงจนถึงปัจจุบัน โดยศาลตัดสินจำคุกคนขับ เป็นเวลา 1 ปี พร้อมให้จ่ายเงินชดใช้ 6 ล้านบาท กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบ 5 ปี จนคนขับออกมาจากคุกแล้ว แต่ทางครอบครัวของน้องการ์ตูนยังไม่ได้รับการชดใช้เยียวยาแต่อย่างใด
ล่าสุด แม่น้องการ์ตูน โพสต์ข้อความผ่านเพจ ระบุว่า “สู้ ก็แพ้ ไม่สู้ก็แพ้ ขอสรุปบทชีวิตของแม่และน้องการ์ตูน ในเดือนที่เกิดเหตุ 19 กันยายน 2557 เหตุการณ์ที่ไม่มีใครให้อยากเกิดขึ้นและคดีความจะหมดในวันที่ 19 กันยายน 2567 อุทาหรณ์ภาคต่อ (บทสรุป) ประเทศไทย ขับรถแข่งกันบนถนนหลวง ผลลัพธ์ คือ ตาย 1 ศพ เด็ก 5 ขวบพิการอีก 1 คน โทษที่จะได้รับคือ ติดคุก 1 ปี และไม่ต้องเสียเงินเยียวยาตามคำสั่งศาลแม้แต่บาทเดียว ย้ำ..แม้แต่บาทเดียว
วิธีง่ายๆ ก็แค่ไม่ครอบครองทรัพย์สินอะไรยาวๆ 10 ปีและให้เจ้าทุกข์ฟ้องล้มละลายก็ทนอีกแค่ 3 ปี (ก็ทนมา 10 ปีแล้วทนอีกแค่ 3 ปี ชิลๆ) The end จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง Set Zero กลับมาใช้ชีวิตปกติได้สบายๆ
ฝั่งเหยื่อ สิ่งที่เหยื่อจะได้รับคือ??? สูญเสียชีวิตคนในครอบครัว ทุกอย่างที่เคยวางแผนไว้ให้ลูก พัง ครอบครัว พัง จากชีวิตครอบครัวที่ไม่ลำบาก พัง ต้องหาเงินดูแลรักษาผู้พิการตลอดชีวิต (รายจ่ายตลอดชีพจนกว่าจะสิ้นลม ซึ่งไม่รู้ว่าแม่หรือลูกที่จะสิ้นลมก่อนกัน) กระดาษ 1 แผ่นที่ศาลให้ตอนจบคดีว่าคนผิดจะต้องเยียวยาและชดใช้ให้กี่บาท
เจ้าทุกข์ถ้าอยากได้เงินก็แค่ไปหาเงินมาจ้างคนให้ตามสืบทรัพย์ 10 ปี+3 ปี (ตอนฟ้องล้มละลาย) ถ้าเจ้าทุกข์ไม่มีเงินจ้างล่ะ? ก็ตามยึดทรัพย์ไม่ได้เลยไง (ก็ไม่มีเงินไปจ้างแล้วใครจะมาทำให้ฟรีๆ คะ) แล้วถ้าคนผิดมันตั้งใจทำให้ตัวเองไม่มีทรัพย์สินล่ะ ? ก็เท่ากับจ่ายเงินจ้างคนตามสืบทรัพย์ฟรีๆ (ก็ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่ายอ่ะ จะทำไม มีปัญญาทำไรได้ป่ะล่ะ)
เพราะกฎหมาย Thailand กำหนดให้ “เหยื่อ” ต้องมาแจ้งกองบังคับคดีเองว่า ผู้กระทำความผิดมีเงินมีทรัพย์อะไรให้ไปตามยึดบ้าง (อธิบายง่ายๆ คือ หน้าที่ของ “เหยื่อ” หรือเจ้าทุกข์ คือ ไปหาไปสืบทรัพย์ผู้กระทำผิดเอาเองนะเธอ เพราะไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงานรัฐนะตัวเธอ)
“เหยื่อ” เงินไม่มีต้องทำไง? ง่ายๆ ก็ทนให้ครบ 10 ปี แล้วไปหาเงินไปกู้เงินมาจ้างทนายทำเรื่องฟ้องล้มละลายผู้กระทำความผิดเอง (เหยื่อจ่ายอีกแล้ว) คดีน้องการ์ตูนหน่วยรัฐช่วยส่งทนายมาทำเรื่องส่งฟ้องล้มละลายให้ ขั้นตอนนี้จะได้กระดาษใบที่ 2 มาใส่กรอบโชว์แลกกับความอัปยศของชีวิตที่ฝั่ง “เหยื่อ” ได้รับมาตลอด 10 ปี
ระหว่างทางมีทนายหลายท่านยื่นมือเข้ามาให้คำปรึกษาและอาสาตามสืบทรัพย์ให้ พอทำไปช่วงนึงก็หายกันไป เพราะแต่ละท่านก็ต้องทำงานของตัวเอง เพราะทุกท่านก็มีครอบครัว ไม่สามารถช่วยได้ตลอด เพราะทุกอย่างมีค่าใช้จ่ายทั้งนั้น (ตรงจุดนี้คุณแม่เข้าใจและต้องขอขอบพระคุณพี่ๆ ทนายทุกๆ ท่านมากๆ จริงที่เข้ามาช่วยคุณแม่นะคะ)
ขอย้อนกลับไปเรื่องการดูแลรักษาลูกที่เป็นผู้ป่วยพิการไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เพราะความแรงของรถที่พุ่งชนทำให้ “สมอง” ไหลออกมาจากกะโหลกศีรษะ เป็นเหตุให้สมองตายไป 75% ไม่เพียงแค่นั้นดวงตาทั้ง 2 ข้างยังบอดสนิทและพูดไม่ได้ อวัยวะภายในบางส่วนโดนตัดทิ้งเพื่อรักษาชีวิต ไม่มีภูมิคุ้มกันร่างกายใดๆ และเหลือปอดเพียง 1 ข้าง
แต่ชีวิตของน้องการ์ตูน…ยังมีลมหายใจ น้องการ์ตูนยังสามารถยิ้มและร้องไห้ได้ นั่นคือการสื่อสารที่เหลืออยู่เพียง 2 สิ่ง แต่การยิ้มและร้องไห้ของน้องการ์ตูนนั้น คุณแม่ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าน้องการ์ตูนยิ้มเพราะอะไรหรือร้องไห้เพราะอะไร
หัวอกคนเป็นแม่ไม่มีทางเลือกอื่น ทางเดียวที่ต้องทำคือการดูแลรักษาชีวิตของลูกให้มีลมหายใจต่อไป แต่สิ่งที่ต้องแลกกับลมหายใจของลูก คือค่าใช้จ่ายในเเต่ละเดือนสูงมากๆ จนบางครั้งก็ท้อ และสิ่งที่แม่ต้องคิดหนักและเจ็บอยู่ในอก จุกอยู่ในใจตลอด คือในวันข้างหน้า ถ้าแม่ไม่สามารถดูแลน้องได้แล้ว แม่ใกล้สิ้นลมขึ้นมา สิ่งที่แม่ต้องเลือกคือต้องให้ลูกไปก่อนแม่ เพราะไม่มีใครที่จะดูแลรักษาน้องได้อีกต่อไป นั่นก็แปลว่าน้องจะมีอายุขัยได้มากที่สุด เท่ากับที่แม่จะมีชีวิตอยู่
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงและสภาพที่เป็นอยู่ ต้องดำเนินไปในวิถีทางนี้ ในละครหรือหนังตอนจบใช่ว่าจะ happy ending เสมอไป หลายต่อหลายเรื่องก็จบแบบ bad ending เฉกเช่นเดียวกับเรื่องนี้ นี่คือบทสรุปของคดี “น้องการ์ตูน” ที่เกิดขึ้นเมื่อ 19 กันยายน 2557 คดีดังที่ไม่มีใครลืม….แต่คนผิดสบายตัว…แล้วถีบความหายนะอยู่กับเหยื่อไปตลอดชีวิต กฎหมายไทยช่วยได้แค่กระดาษจริงๆ…น่ะ…หรือ…??? #thailand only
แม่ขอกราบขอบพระคุณ สื่อมวลชน ทุกท่าน รวมถึงรายการดังๆ ทุกรายการ และเพจใหญ่ทุกเพจ ที่ช่วยเหลือแม่ และแฟนเพจทุกท่านที่สนับสนุนแม่ และน้องการ์ตูนมาเสมอ นับจากนี้ขอไม่สู้แล้ว ขอให้เคสแม่เป็นอุทหรณ์สอนใจแก่ผู้ประสบเหตุการณ์เช่นกันนะคะ”